6 วิธี ฝึกน้องเหมียวในบ้าน ให้มีความสุข

สิ่งที่ทำให้แมวมีความสุขในบ้านก็คือปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ดังนั้นหากอยากฝึกแมวให้อยู่ในบ้านอย่างมีความสุขแล้ว สิ่งที่เจ้าของแมวควรคำนึงถึง ได้แก่

1.อาหารแสนอร่อย
สิ่งสำคัญที่จะช่วยฝึกให้แมวอยู่บ้านได้อย่างแฮปปี้ ก็ต้องเลือกสรรอาหารแสนอร่อยมาช่วยดึงดูดใจ เติมเสน่ห์มัดใจแมวให้อยู่ติดบ้าน นอกจากจะมีรสอร่อยมัดใจแมวแล้วยังลดปัญหาที่อาจเกิดกับแมวที่เลี้ยงในบ้าน
2.น้ำสะอาดสดใหม่
ตามธรรมชาติแมวมักกินน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย ในขณะที่เจ้าของมักจะวางชามน้ำไว้ให้แมวในจุด ๆ เดิม ซึ่งในบางครั้งเมื่อแมวเล่นอยู่ที่มุมอื่น ๆ ของบ้าน อาจทำให้แมวไม่ได้กินน้ำ และขาดน้ำได้ เจ้าของจึงควรวางชามน้ำเพิ่มให้แมวในจุดต่าง ๆ ของบ้าน และเลือกชามน้ำให้มีความหลากหลาย อาจสลับกับน้ำพุแมวบ้างเป็นบางจุด เมื่อแมวเล่นจนหิวน้ำเมื่อไหร่ก็สามารถดื่มน้ำได้เลยทันที
3.วิวสูง ๆ ให้นั่งชิลล์
ตามธรรมชาติ แมวมักจะชอบปีนขึ้นไปบนที่สูง เพื่อให้สามารถมองเห็นบริวณรอบๆ ได้ การหาบริเวณที่จะให้แมวขึ้นไปนั่งมองเห็นจากที่สูง และรู้สึกปลอดภัยนั้น จะช่วยให้แมวอยากอยู่ติดบ้านมากขึ้น โดยควรคำนึงถึงความแข็งแรงและความปลอดภัย สามารถรับน้ำหนักตัวแมวได้โดยไม่เป็นอันตราย หากไม่มีบริเวณให้แมวไปนอนชมวิว ก็อาจเลือกเป็นคอนโดแมว ให้แมวสามารถปีนขึ้นไปชิลล์ด้านบนแทนก็ได้
4.มีมุมสงบให้พักผ่อน
นอกจากมีบริเวณให้แมวได้สร้างสังคมร่วมกันแล้ว ก็อย่าลืมจัดมุมสงบให้แมวได้อยู่เงียบๆ ด้วยส่วนมากก็ไม่ได้กินพื้นที่อะไรมากมาย เพราะแมวมักอาศัยบริเวณใต้ตู้ ใต้เตียง หรือมุมเงียบๆ หลังโซฟา ไว้เป็นมุมสงบให้พักใจ
5.ของเล่นที่ใช่
เตรียมของเล่นเช่นตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ไว้ เพื่อช่วยตอบสนองต่อสัญชาตญาณนักล่าของแมวที่เลี้ยงในบ้าน จะช่วยลดความอยากออกไปโลดแล่นที่โลกภายนอกได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง เลือกของเล่นแมวให้ถูกใจ ชิ้นไหนใช้ออกกำลังกายเพลิน)

6.มีเวลาให้กันหน่อย
การเลี้ยงแมวในบ้านและฝึกให้แมวอยู่บ้านต้องอาศัยความเอาใจใส่จากเจ้าของแมวด้วยเช่นกัน เจ้าของควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของแมว และสร้างบรรยากาศในการอยู่บ้านด้วยกันให้สนุกสนาน เพียงเท่านี้น้องแมวก็อยากอยู่บ้าน ไม่อยากไปไหนไกลแล้ว


Laxatone สูตรเฉพาะสำหรับกำจัดและป้องกันการเกิดก้อนขน รถชาติที่แมวเลือก เจลที่ขับก้อนขน ที่เป็นเจลที่ได้รับการยอมรับจากสัตวแพทย์มานาน ใช้จ่ายให้กับน้องเหมียว เพื่อช่วยป้องกันการเกิดก้อนขน โดยให้ระบายออกทางอุจจาระ ให้อย่างสม่ำเสมอ
ราคา 450 บาท
สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่
Lazada https://bit.ly/30RLi4b
Shopee https://bit.ly/30RLpwD
Line Official https://lin.ee/YZkOC2g

สาเหตุของการเกิดก้อนขนสำหรับแมว

สาเหตุของการเกิดก้อนขนสำหรับแมวมีหลากหลายวิธี มีอะไรบ้างไปดูกัน

Laxatone สูตรเฉพาะสำหรับกำจัดและป้องกันการเกิดก้อนขน รถชาติที่แมวเลือก เจลที่ขับก้อนขน ที่เป็นเจลที่ได้รับการยอมรับจากสัตวแพทย์มานาน ใช้จ่ายให้กับน้องเหมียว เพื่อช่วยป้องกันการเกิดก้อนขน โดยให้ระบายออกทางอุจจาระ ให้อย่างสม่ำเสมอ

———————————

ราคา 450 บาทสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

Lazada https://bit.ly/30RLi4b

Shopee https://bit.ly/30RLpwDL

ine Official https://lin.ee/YZkOC2g

เมนูต้องห้าม!!! ของแมวอันตรายถึงตาย ห้ามเด็ดขาด

1. ทูน่ากระป๋อง โดยสัตวแพทย์เปิดเผยว่า ปริมาณสารอาหารในปลาทูน่ากระป๋องไม่สามารถดูดซึมไปใช้กับร่างกายของแมวได้ แม้พวกมันจะกินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อยก็ตาม แต่ร่างกายของพวกมันก็ไม่เจริญเติบโต และอาจกลายเป็นแมวขาดสารอาหารก็เป็นได้ ดังนั้นเลือกปลาทูน่าที่ผลิตขึ้นเพื่อน้องแมวจริงๆ ก็สามารถรับประทานได้ไม่มีปัญหา ❌

2. ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตมีสารพิษ theobromine ออกฤทธิ์กลายเป็นคาเฟอีน คือหัวใจสั่น และกล้ามเนื้อตื่นตัว ซึ่งช็อกโกแลตเพียงไม่กี่มิลลิกรัม อาจส่งผลรุนแรงให้แมวเหมียวป่วยหนักได้ ❌

3. หัวหอม กระเทียม ห้ามลิ้มลองหัวหอมเข้าปากเป็นอันขาด เพราะอาหารประเภทนี้มีสารทำลายระบบเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ❌

4. ผลิตภัณฑ์จากนม เมื่อโตเป็นแมวเหมียวเต็มวัย แมวกินแล้วอาจเรื่องใหญ่ ต้องพาไปพบสัตวแพทย์ด้วยอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ❌

5. สุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ อาทิ เบียร์ สุราและไวน์ ทำลายตับและสมองของเจ้าเหมียว ❌

6. องุ่นและลูกเกด มีผลกระทบต่อ แมวได้มากทีเดียว แมวจะอ้วกและขาดน้ำอย่างรุนแรง ❌

———————————

ราคา 450 บาทสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

Lazada https://bit.ly/30RLi4b

Shopee https://bit.ly/30RLpwD

Line Official https://lin.ee/YZkOC2g

จัดการปัญหากวนใจเรื่องน้องแมวขนร่าว

วันนี้แอดมินมาแนะนำวิธีการจัดการขนของเจ้าเหมียว-การแปรงขนแมว จะช่วยกำจัดเศษขนส่วนเกิน ป้องกันไม่ให้ขนพันกัน และยังกระตุ้นต่อมใต้ผิวหนังให้ผลิตน้ำมันที่ช่วยบำรุงเส้นขนให้เงางาม-ไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง และผิวหนังแห้ง-การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงขน เช่นเเชมพู อาหารเสริม สเปรย์บำรุง เพื่อให้ขนน้องแมวแข็งแรง สุขภาพดี ลดอาการขนร่วง แถมยังทำให้ขนน้องแมวเงางามอีกด้วย-เครื่องดูดฝุ่น หากเราทำความสะอาดด้วยการใช้ไม้กวาด จะทำให้ขนแมวรลอยฟุ้งไปในอากาศมากยิ่งขึ้น-ลูกกลิ้งกำจัดขน หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เครื่องดุดฝุ่นดูดไม่ได้ เช่น เสื้อผ้า ปลอกหมอน การใช้ลูกกลิ้งกำจัดขนถือเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด-การเช็ดทำความสะอาด สำหรับพื้นผิว เช่น พื้นกระเบื้อง โต๊ะ เก้าอี้ หรือสิ่งของต่างๆ การใช้ผ้าชุบน้ำหรือผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยทำความสะอาดขนของแมวได้-เครื่องฟอกอากาศ อีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำความสะอาดได้มากขึ้นนอกอาการที่เราเห็นนั้นเป็นการผลัดขนตามปกติหรือขนร่วงที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติ หากพบว่าสาเหตุเกิดจากสิ่งต่างๆ ดังที่กล่าวก็ควรรีบพาน้องแมวของเราไปพบสัตวแพทย์เพื่อรักษาตามสาเหตุอย่างถูกต้อง การดูแลเรื่องอาหารของน้องแมว ดูแลแปรงขนของน้องแมวอย่างสม่ำเสมอ รวมไปความใส่ใจและให้ความรักน้องแมวอย่างใกล้ชิด เพียงเท่านี้ก็สามารถจัดการปัญหาขนที่คอยกวนใจเจ้าของน้องแมวได้แล้ว

——————————-

Laxatone คือ เจลที่ขับก้อนขน ที่เป็นเจลที่ได้รับการยอมรับจากสัตวแพทย์มานาน ใช้จ่ายให้กับน้องเหมียว เพื่อช่วยป้องกันการเกิดก้อนขน โดยให้ระบายออกทางอุจจาระ ให้อย่างสม่ำเสมอ

———————————
ราคา 450 บาทสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

Lazada https://bit.ly/30RLi4b
Shopee https://bit.ly/30RLpwD
Line Official https://lin.ee/YZkOC2g6

5085081 ความคิดเห็นแชร์ 12 ครั้งถูกใจแสดงความคิดเห็นแชร์

แมวอาเจียนบ่อยๆ จะเป็นอะไรไหม ?

การอาเจียนของแมวนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติเมื่อนางกินอาหารผิดสำแดง หรือเลียขนเข้าไปจำนวนมากๆ นางจะอาเจียนออกมา แต่ถ้าน้องอาเจียนออกมาบ่อยผิดปกติ อาเจียนไม่หยุด นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าน้องกำลังป่วยอยู่ จากอวัยวะภายใน เช่น โรคกระเพาะ หรือเกี่ยวกับลำไส้อักเสบ ก็ได้ครับ ทางที่ดีคือพาไปพบแพทย์ดีกว่าครับ เรามีวิธีสังเกตของเหลวที่อาเจียนออกมา มีดังนี้ครับ
1. มีลักษณะเป็นฟองสีขาวอาจมีเสมหะหรือไม่มีเสมหะร่วมด้วยก็ได้ ในเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากอาการไอของแมว การสำลักน้ำ รูปแบบอาเจียนสีขาวนี้วินิจฉัยได้ค่อนข้างยากเพราะเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น โรคไข้หวัดแมวหรือปัญหาระบบทางเดินอาหาร ถ้าเป็นไม่นานก็ไม่ได้น่ากังวลอะไร
2. มีลักษณะเป็นฟองสีเหลืองอาการนี้มักเกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารเยอะเกินไป เมื่อแมวท้องว่างมากเกินไปก็จะสำรอกน้ำย่อยออกมา
3. อาเจียนออกมาเป็นสีน้ำตาลมักเกิดจากการมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร แต่หากอาเจียนมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มๆ ให้ลองเอาผ้าเขี่ยๆ ดูนั่นอาจเป็นก้อนขนก็ได้เช่นกัน
4. อาเจียนที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นสีเขียวเป็นไปได้สูงว่าแมวมีการติดเชื้อรุนแรง มักเป็นอาเจียนที่มาจากกระเพาะและลำใส้เล็กส่วนต้น
5. มีเลือดสดปนมาในอาเจียนด้วยมักเกิดจากการมีแผลในระบบทางเดินอาหาร (โดยมากมักเป็นที่กระเพาะ)
6. อาเจียนเป็นอาหารออกมาเกิดจากอาหารไม่ย่อย กินอาหารเร็วเกินไป กระเพาะอาหารอักเสบ รวมถึงการเล่นทันทีหลังจากรับประทานอาหาร
——————————————

Laxatone คือ เจลที่ขับก้อนขน ที่เป็นเจลที่ได้รับการยอมรับจากสัตวแพทย์มานาน ใช้จ่ายให้กับน้องเหมียว เพื่อช่วยป้องกันการเกิดก้อนขน โดยให้ระบายออกทางอุจจาระ ให้อย่างสม่ำเสมอ

———————————

ราคา 450 บาทสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

Lazada https://bit.ly/30RLi4b

Shopee https://bit.ly/30RLpwD

Line Official https://lin.ee/YZkOC2g

5 วิธีกำจัดก้อนขนแมว ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะก้อนขนอุดตัน

แมวเป็นสัตว์ชอบความสะอาด แมวมักทำความสะอาดตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องปกติที่เขาจะกลืนเอาเส้นขนของตัวเองเข้าไป เมื่อขนที่เจ้าเหมียวกลืนเข้าไปนี้มีปริมาณมากขึ้น ก็จะไปสะสมอยู่ในระบบทางเดินอาหารของแมว เกิดเป็นก้อนขนขึ้นมา 5 วิธีกำจัดก้อนขนแมว ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะก้อนขนอุดตัน

1.เพิ่มกากใยในอาหารการกินอาหารที่มีกากใยเยอะจะช่วยเหมือนกับปัดกวาดเอาเส้นขนในทางเดินอาหารออกไปได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการกระจุกตัวกันเป็นก้อนของขนในกระเพาะอาหาร ในปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดที่เพิ่มปริมาณกากใยในอาหารให้น้องแมวโดยเฉพาะแล้ว วิธีการนี้จึงเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวกแก่เจ้าเลยนั่นเอง

2.เปลี่ยนอาหารให้เป็นอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้น้อยที่สุดเนื่องจากการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการแพ้อาหารหรือการติดเชื้อลำไส้อักเสบก็เป็นสาเหตุที่มักก่อให้เกิดปัญหาภาวะก้อนขนอุดตันแบบเรื้อรัง อาหารสูตรสำหรับสัตว์แพ้ง่ายจึงเป็นอีกทางเลือกนึงเพื่อลดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารในแมวนั่นเองค่ะ

3.ช่วยแปรงขนให้น้องแมวบ่อยๆการเพิ่มจำนวนครั้งในการแปรงขนให้น้องแมวจะเป็นวิธีการที่ช่วยให้สองวิธีข้างต้นได้ผลมากขึ้น เนื่องจากการที่เราแปรงขนน้องแมวออกไปก็จะช่วยลดจำนวนขนที่แมวจะเลียกินไปได้อย่างมา

4. เจลขับก้อนขน ช่วยได้ ! เป็นอาหารเสริมที่ช่วยกำจัดก้อนขนในแมวซึ่งมีลักษณะเป็นเจล ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเลียมที่เมื่อน้องแมวกินเข้าไปแล้วจะไปเคลือบก้อนขนและขับออกมากับอุจจาระ ซึ่งควรให้น้องแมวกินในปริมาณที่แนะนำข้างผลิตภัณฑ์เท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ในน้องแมวที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน

5. ควรหาของเล่นใหม่ให้น้องแมวบ่อยๆ หรือเล่นกับน้องแมวแมวให้มากขึ้น เพื่อหันเหความสนใจของมันจากการเลียขนLaxatone คือ เจลที่ขับก้อนขน ที่เป็นเจลที่ได้รับการยอมรับจากสัตวแพทย์มานาน ใช้จ่ายให้กับน้องเหมียว เพื่อช่วยป้องกันการเกิดก้อนขน โดยให้ระบายออกทางอุจจาระ ให้อย่างสม่ำเสมอ

———————————

ราคา 450 บาทสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

Lazada https://bit.ly/30RLi4b

Shopee https://bit.ly/30RLpwD

Line Official https://lin.ee/YZkOC2g

5 วิธีบอกรักแมวของคุณให้มากขึ้น

1. กระโดดนั้งตักคุณ แล้วก็ใช้หน้าถูกับตัวคุณ แมวส่วนใหญ่มักจะแสดงออกแบบนี้ เรียกว่าเป็นการแสดงออกแบบสากลก็ว่าได้

2. ส่งเสียงร้องเรียกคุณ “เมี้ยว เมี้ยว” เบา ๆ แล้วก็ทำหน้าอ้อน ๆ ทำตาหวานใส่แมวที่เรียบร้อยมักจะเป็นแบบนี้

3. กัดที่หน้าแข้ง หรือข้อศอกเบา ๆ เจ้าของบางคนจะไม่ชอบ และเข้าใจผิดว่าแมวดุ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการแสดงความรักของแมวระดับจ่าฝูงก็ว่าได้ เพราะพวกนี้จะอ้อนไม่ค่อยเป็น

4. นวดหลัง บางครั้งเมื่อคุณนอนอยู่จะเห็นว่าแมวจะขึ้นไปเดิน หรือเหยียบหลังคุณ ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจมันก็จะทำบ่อย ๆเพื่อให้คุณสบาย แมวพวกนี้จัดเป็นพวกไอคิวสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

5. หอมแก้ม บางครั้งเวลาอุ้มแมวจะถูกแมวหอมแก้ม อันนั้นมันบอกว่า ” รักคุณมากเลยหล่ะ ” แต่ถ้าแมวของคุณยังไม่แสดงออกแบบนี้ละก็ลองหันกลับไปดูว่า ได้ดูแลเขาได้ดีพอหรือยัง ถ้ายังก็ควรจะเริ่มใหม่เสียยังไม่สายจนเกินไปเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณกับเจ้าเหมียวอย่างไรหละ

—————————–

PuppyBoost อาหารเสริมพลังงาน สุนัข และแมว เหมาะสำหรับลูกสัตว์แรกเกิด ที่อ่อนแอ อุณหภูมิต่ำ กระตุ้นให้ลูกสัตว์ดูดนมได้ดีขั้น สัตว์ที่เผชิญกับสภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ หรือสภาวะเครียด มีกรดอะมิโนที่ใช้ในการสังเคราะห์โปรตีน การกระตุ้นการเผาผลาญ (catabolism และ anabolism) และมี วิตามิน A, B1, B2, B3, B5, B6, C, ไบโอตินและ D3 และสารสกัดจากโสม #นำเข้าจากฝรั่งเศส

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3iiejwK

ColoBoost ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม นมน้ำเหลือง ตัวช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน สำหรับสุนัขและแมวแรกเกิด เพิ่มภูมิต้านทานโรค เพิ่มการรอดชีวิต เป็นแหล่งพลังงาน ดูดซึมง่าย เสริมสร้างการทำงานระบบทางเดินอาหาร

อ่านเพิ่มเติม https://bit.ly/2GTkrhM

5 ข้อดีของการเลี้ยงแมว

1. การเลี้ยงแมวช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า และความเครียด แมวจะช่วยกระตุ้นการพัฒนาที่หน้าทึ่งต่อผู้ป่วยที่มีความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยเสียงฮึมเฮาในลำคอของแมว (Purr) จะช่วยให้ผ่อนคลาย กระตุ้นการสร้างสมาธิ และสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น

2. แมวจะเป็นเพื่อนของคุณ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว แมวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แมวจะมีความขี้เล่นและตลก เพราะอาจจะทำอะไรเปิ่นๆ ให้ได้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่แมวก็เป็นสัตว์ที่เป็นตัวของตัวเองสูง และจะไม่ยอมปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว

3.การเลี้ยงแมวสามารถช่วยในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ออทิสติก และสมาธิสั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยในการสนับสนุน แต่ก็มีหลายๆ กรณีที่เจ้าของมีชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อเลี้ยงแมว

4.แมวจะช่วยให้เด็กมีความรับผิดชอบ การเลี้ยงแมวไว้ในบ้านซักตัว ก็สามารถเพิ่มความรับผิดชอบให้แก่เด็กๆ ในการช่วยดูแลต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับลูกๆ ของคุณ ว่าสัตว์เลี้ยงไม่ใช่ของเล่น และวิธีที่ต้องปฏิบัติตัวต่อแมวอย่างถูกต้อง

5.แมวเป็นสัตว์ที่ต้องการการดูแลน้อย ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่น เพราะแมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด แต่ก็ยังต้องดูแลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน การให้อาหาร และการตรวจสุขภาพ เพราะว่าแมวที่สุขภาพดีมนุษย์ก็จะมีสุขภาพที่ดี

อาหารจัดการมะเร็ง

อาหารจัดการมะเร็ง

ช่วงนี้ทั้งคนทั้งสัตว์ที่คุ้นเคยต่างประสบกับภัยร้ายจากมะเร็งที่พรากทั้งชีวิตและจิตใจจากเราไปมากมายนับไม่ถ้วนแล้วครับ มะเร็งถือเป็นโรคอันดับต้นๆทีเดียวที่ทำให้คนไทยเราต้องจากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ ที่ไหนที่เปิดคลินิกรักษาโรคมะเร็งก็จะเห็นว่าคราคร่ำไปด้วยคุณพ่อคุณแม่ที่พาเจ้าสี่ขาทั้งหมาและแมวไปนั่งคอยคุณหมอกันอย่างน่าสลดหดหู่

เหตุก็เพราะว่าโรคๆนี้มักรักษาไม่หาย จะตายช้าตายไวก็เพียงเท่านั้น กระบวนการทุกๆอย่างที่หมอท่านใช้ จึงประกอบกันทั้งศาสตร์และศิลป์ ใช้ทั้งการแพทย์สมัยใหม่และแพทย์สมัยเก่า ทั้งแพทย์ทางหลักและแพทย์ทางเลือก ผสมปนเปกันอีลุงตุงนังไปหมด เพราะต้องการ “balance” คำๆนี้สำคัญครับ คือต้อง balance ทุกๆอย่างจริงๆ เพราะสัตว์แต่ละตัวหรือคนแต่ละคนนั้นมีจุด balance ที่ไม่เหมือนกันเลย

สิ่งสำคัญที่หมอต้อง balance ร่วมกันกับเจ้าของก็คือ balance ระหว่าง “การมีชีวิตที่ยืนยาวออกไป” กับ “คุณภาพชีวิตที่ดีในปัจจุบัน” แพทย์แผนปัจจุบันใช้ยาในการจัดการกับตัวเซลล์เนื้องอก ขณะที่แพทย์แผนผสมผสานมองการจัดการแบบองค์รวมมากกว่า ดังคำพูดของ Dr. Donald Abrams ซึ่งเป็น Cancer and integrative medicine specialist ที่ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “I tell my patients that I think of cancer as a weed. Modern western oncology is focused on destroying the weed while integrative oncology concentrates on the soil the weed grows in and on making the soil as inhospitable as possible to the growth and spread of the weed.”

“ฉันเล่าให้คนไข้ฟังเสมอว่า มะเร็งก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ การแพทย์สมัยใหม่ทางฝั่งตะวันตกมุ่งเน้นที่การทำลายเมล็ดพันธุ์ขณะที่การแพทย์ผสมผสานมุ่งเน้นที่ดินโดยการพยายามทำให้ดินไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเมล็ดพันธุ์นั้นแทน”

กล่าวกันเสียยืดยาว ผมเองไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางที่ focus ด้านมะเร็งครับ แต่ในฐานะอายุรสัตวแพทย์ ผมต้องเจอกับสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้เดือนๆนึงไม่น้อย เราๆท่านๆก็ทราบดีว่าเจ้าโรคร้ายนี้แม้ในมนุษย์ยังพยายามที่จะหาวิธีการจัดการกับมันเพื่อให้คนไข้มีอายุยืนยาวที่สุดพร้อมๆกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดไปด้วย และก็ชัดเจนครับว่าหลายๆกรณีที่สองอย่างนี้มันไปด้วยกันไม่ค่อยจะได้ เพราะการทำลายแต่เฉพาะเซลล์มะเร็งโดยที่เซลล์ของ host ไม่ได้รับผลกระทบเลยนั้นเป็นไปแทบจะไม่ได้ ไม่มากก็น้อยครับที่ต้องเกิดผลข้างเคียง

ในฐานะพ่อแม่นอกจากจะพยายามประคับประคองสภาพจิตใจของเจ้าสี่ขาและตัวเราเองให้พร้อมที่สุดที่จะดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้เด็กๆมีความสุขกับเวลาที่เหลืออยู่แล้ว อาวุธชิ้นสำคัญที่เราทุกคนมีอยู่ในมือและสามารถใช้ได้ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังกันในวันนี้ก็คือ “อาหาร” ครับ

“Let food be thy medicine and medicine be thy food” เป็นคำพูดของ Hippocrates ที่โด่งดังมามากกว่า 30 ปี ภายใต้ข้อโต้แย้งมากมาย สิ่งนึงที่ผมเห็นว่าจริงคือเราต้องกินอาหารทุกวัน หากมันสามารถสร้างคุณประโยชน์แก่เราได้มากกว่าแค่เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ เช่นสามารถรักษาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บได้ย่อมน่าสนใจไม่น้อย (thy = your: ภาษาโบราณ)

ปัจจุบันศาสตร์การใช้อาหารในการรักษาโรคมีให้ศึกษาอย่างแพร่หลายทั้งที่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อครับ วันนี้ผมได้ลองค้นคว้าหาคำตอบกับคำถามที่ว่า อาหารอะไรเหมาะสมกับสัตว์ป่วยโรคมะเร็งบ้าง ลองติดตามอ่านกันดูได้เลย

#หากเป็นอาหารแบบ home-made คุณค่าทางโภชนาการควรเป็นอย่างไร

สิ่งที่เหนือกว่าคุณค่าทางโภชนาการสำหรับสัตว์ป่วยมะเร็งคือ “ขอให้เค้ากินได้เถอะครับ” หากไม่กินอาหารซะอย่างแล้ว มันจะวิเศษวิโสมาจาก 11 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่ถูกกินเข้าไป หากเมื่อสัตว์ป่วยกินแล้วก็ค่อยๆปรับองค์ประกอบทางโภชนาการให้เป็นแบบ low carbohydrate, moderate fat และ moderate protein โดยเลือกโปรตีนคุณภาพดีและไขมันพร้อม profile ของกรดไขมันที่เหมาะสม และที่สำคัญต้องเพรียบพร้อมไปด้วยสารอาหารจากพืชผักครับ

ในบทความ Nutritional Alternatives for Cancer Patients ที่เขียนโดย Susan G. Wynn นั้น เขาได้ให้ guideline สำหรับการทำกับข้าวสำหรับสุนัขโรคมะเร็งเอาไว้ดังนี้ครับ

  • 50% เนื้อปลา หรือไก่ (ควรผลิตแบบ organic เพราะจะปลอดภัยจากสารพิษและสารเคมี)
  • 50% ส่วนผสมของผักสดหรือผักแช่แข็ง (แน่นอนว่าต้อง organic เช่นกัน)
  • มีการใช้น้ำมัน flax หรือ olive เป็นแหล่งพลังงานทางไขมันโดยเติมประมาณ 1 ช้อนชาต่อสุนัขน้ำหนัก 10 กิโลกรัม
  • ให้วิตามินและ mineral เสริมสุขภาพของมนุษย์แบบกินรายวัน โดย 1 dose สำหรับสัตว์หนัก 10 กิโลกรัมขึ้นไป และ 1/2 dose สำหรับสัตว์หนักต่ำกว่า 10 กิโล
  • ให้ calcium carbonate โดยประมาณ 250 mg ต่อน้ำหนักตัว 7-8 กิโล
  • (กรณีใช้ในแมวให้ปรับเป็นใช้เนื้อสัตว์ 80% และผัก 20% แทน และเสริม taurine ด้วยในขนาด 250-400 mg ต่อวัน)

สูตรอาหารที่ว่านี้เน้นเลยนะครับว่าไม่ balance ดังนั้นเราจึงควรตรวจประเมินสุขภาพของสัตว์อยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อการปรับแต่งสูตรอาหารให้เหมาะกับสัตว์แต่ละตัวเป็นระยะๆ ที่สำคัญคือไม่ควรใช้เนื้อสัตว์ดิบเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารโดยเด็ดขาดโดยเฉพาะในรายที่ได้รับเคมีบำบัดเพราะสัตว์กลุ่มนี้มีความอ่อนแอของระบบภูมิคุ้มกันทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อครับ และหากติดเชื้ออาการก็จะรุนแรงกว่าสุนัขปกติครับ

#เราสามารถใช้วัตถุดิบอาหารประเภทพริกหรืออะไรอย่างอื่นเพื่อเพิ่มความน่ากินได้ไหม

มีรายงานว่าพริกบางชนิดมีฤทธิ์ต้านมะเร็งครับและแน่นอนว่าอาจมีส่วนช่วยในการเพิ่มรสชาดอาหารได้ด้วย (แต่อย่าให้ hot จนเกินไปนะจ๊ะ) แม้แต่กระเทียมเพียงเล็กน้อย (มากไม่ได้เพราะเม็ดเลือดแดงอาจแตกได้) เช่น 1 กลีบต่อสุนัขน้ำหนัก 20 กก. และผงขมิ้นชัน (turmeric) 1 ช้อนชาต่อ 25 กก.สามารถใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร home made เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาดอาหารได้

กระเทียมมีฤทธิ์กระตุ้นความอยากอาหารได้แม้ว่าเราจะทราบกันดีว่าหากมากเกินไปอาจทำให้เกิด oxidative injury ของเม็ดเลือดแดง คุณๆจึงควรตรวจ CBC กับ RBC morphology อย่างสม่ำเสมอ ไม่รู้ว่าลืม Heinz body กันแล้วหรือยังครับ

ขมิ้นชันมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีเพราะมีองค์ประกอบเป็นพวก curcumin ซึ่งเป็นสารตระกูล flavonoid ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โน้มนำให้เซลล์มะเร็งเกิด apoptosis และยัง modulate การ expression ของโปรตีนหลายชนิดเช่น COX-2, 5-LOX, TNF, NF-kappa B, และอื่นอีกมากมาย สารสกัดจาก curcumin ดูดซึมเข้า systemic ได้น้อยจึงเป็นที่นิยมในการรักษามะเร็งระบบทางเดินอาหารครับ หากให้ขมิ้นชันขนาดจะอยู่ที่ 1 ช้อนชาต่อน้ำหนัก 25 กก. ที่ได้กล่าวมาแล้วแต่หากจะให้ curcumin ซึ่งเป็นตัวสารสกัดจากขมิ้นชัน อาจ extrapolate มาจาก dose ในคนที่ระบุในฉลากข้าง product ได้เลย

#Supplement ชนิดใดมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน

สารเสริมอาหารหลายชนิดต่อไปนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงร่างกายแต่หลายชนิดพบคุณสมบัติต้านมะเร็งได้ทั้งในการทดลองแบบ in vitro และ in vivo การใช้ควรใช้ร่วมกันอย่างน้อย 10-15 ชนิดขึ้นไปดังนี้

#สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารที่ถูกแนะนำในคนไข้โรคมะเร็งอยู่บ่อยครั้ง เพราะอาจมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ลดผลข้างเคียงจากการใช้เคมีบำบัด เสริมประสิทธิภาพการทำงานของเคมีบำบัด แต่ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระอาจมีฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของเคมีบำบัดได้ด้วยเช่นกัน เพราะเคมีบำบัดบางชนิดอาศัยปฏิกิริยา oxidation ในการทำลายเซลล์มะเร็ง อันนี้ถือเป็น controversy ของ antioxidant เลย

ผมเองเป็น fan การใช้ antioxidant กับสัตว์ป่วยโรคมะเร็งครับ โดยเฉพาะในกลุ่มคุณพ่อคุณแม่เลือกที่จะไม่ใช้เคมีบำบัดกับลูกๆ หลายรายใช้ antioxidant ด้วยวัตถุประสงค์อื่นอยู่ก่อนแล้วก่อนที่จะพบว่าเป็นโรคมะเร็ง เช่น Alzheimer ข้ออักเสบ และโรคหัวใจ การใช้ antioxidant นิยมใช้แบบ cocktail เพราะ antioxidant แต่ละตัวเมื่อให้ electron กับอนุมูลอิสระไปแล้วตัวเองก็จะกลายเป็นอนุมูลอิสระเสียเอง ดังนั้นการให้สารต้านอนุมูลอิสระหลายๆชนิดร่วมกันแบบ cocktail ก็จะต้านอนุมูลอิสระกันไปกันมาทำให้ได้ผลดีมากกว่า อันนี้เป็นไปในทางทฤษฎีนะครับ

#โอเมก้า3 ที่ใครๆก็ใช้ มีการศึกษาพบว่ามีฤทธิ์ในการยับยั้งการ proliferation ของเซลล์เนื้องอกใน cell line ได้ ต้านการแพร่กระจายหรือ metastasis ในสัตว์ทดลองและยังป้องกันภาวะ cachexia หรือซูบในคนไข้มะเร็ง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ benefit ต่อภาวะ SIRS (systemic inflammatory response syndrome) ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งก็เป็นได้ ขนาดที่แนะนำคือ 500-600 mg EPA and DHA ต่อสัตว์น้ำหนัก 5-10 กก. ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว

อีกอันที่ผมถือว่าเป็น fan คือ #flavanoid ที่ได้รับจากพืชครับ ผมใช้บ่อยในกรณีโรคหัวใจและโรคเมตาบอลิก มีการศึกษาถึงผลในการป้องกันเนื้องอกและมะเร็งอย่างกว้างขวาง ตัวที่เป็นที่รู้จักคือ resveratrol จากองุ่นแดง สารสกัด polyphenols จากชาเขียว และ phytoestrogens ที่ได้จากถั่วเหลืองและพืช นอกจากสามตัวนี้ยังมีตัวอื่นๆอีกเช่น curcumin ที่กล่าวไปแล้ว apigenin, anthocyanin จากเบอรี่ quercetin และอีกมากมายที่เป็นแหล่งของ flavonoid โดย action ที่พบจากการศึกษามีมากมายทั้งการกระตุ้น apoptosis หรือการตายของเซลล์ ยับยั้ง protein kinase สกัดกั้นการสื่อสารกันระหว่างเซลล์ ป้องกันการสร้างหลอดเลือดหรือ angiogenesis ลดการแพร่กระจายหรือ metastasis และยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งอีกด้วย

สารชนิดหนึ่งที่สกัดจากชาเขียวที่มีชื่อว่า epigallocatechin gallate (EGCG) พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของหลอดเลือดและต้านการเจริญแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้ ในคนให้กันในขนาด 200mg วันละครั้ง และอาจ tolerate ได้ถึงวันละ 800mg เลยทีเดียว หากจะ extrapolate มาใช้ในสัตว์ก็แนะนำให้อยู่ในรูปสกัดอาจรบกวนต่อความอยากอาหารน้อยกว่าแบบ crude และค่อย titrate ขนาดการให้ขึ้นช้าๆเพื่อให้สัตว์ปรับตัวต่อการใช้สารสกัดชนิดนี้ ตัวผมเองไม่มีประสบการณ์การใช้นะครับ ไว้มีโอกาสจะกลับมาเล่าให้ฟัง

นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าสารสกัดจาก turkey tail mushroom ที่มีชื่อว่า polysaccharide peptide (PSP) พบว่าสามารถยืดระยะรอดชีพในสุนัขที่ป่วยด้วยภาวะมะเร็งหลอดเลือดชนิด hemangiosarcoma หลังการตัดม้ามออกแล้ว อันนี้ผมว่าน่าสนใจเพราะก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าให้ฟังถึง evidence ของ Yunnan baiyao มาแล้วในมะเร็งชนิดนี้ว่ามี promising evidence เช่นกัน

#เราจะทำอะไรได้อีกบ้างสำหรับมะเร็ง

เนื้องอกและมะเร็งเป็นโรคที่เกิดกับสัตว์สูงวัย ดังนั้นไม่ใช่แต่เพียงเนื้องอกและมะเร็งเท่านั้นที่เราต้องดูแล ปัญหาอื่นๆของสัตว์สูงวัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต เช่น ปวดข้อเพราะข้อเสื่อม สมองเสื่อมจาก Alzheimer หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือระบบขับถ่ายผิดปกติ ทั้งหมดล้วนแต่ส่งผลรบกวนคุณภาพชีวิตของสัตว์ทั้งสิ้นครับ เราควรให้การดูแลทั้งหมดไปพร้อมๆกันด้วย holistic หรือ alternative medicine, physical therapy, การฝังเข็ม หรือศาสตร์อื่น ที่ integrative แบบองค์รวม เพราะสัตว์ก็เหมือนกับเราทุกคน เขาจึงควรมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ แม้ชีวิตที่เหลืออยู่จะเหลือไม่มากแล้วก็ตาม

#VetSikkha

#PETiS by Zuni&Vilar

ขอบคุณเนื้อหาจากเพจ VetSikkha”

5 อันดับยาปฏิชีวนะสำหรับสุนัขที่มีการติดเชื้อในระบบประสาท

5 อันดับยาปฏิชีวนะสำหรับสุนัขที่มีการติดเชื้อในระบบประสาท

การติดเชื้อแบคทีเรียของระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system; CNS) อาจก่อให้เกิดความรุนแรงของอาการทางประสาทได้หลากหลาย ทั้งแบบตำแหน่งเดียว (focal) เช่น ชัก อัมพฤกษ์ และแบบหลายตำแหน่ง (multifocal) เช่น ความบกพร่องของเส้นประสาทสมองหลายเส้น (multiple cranial nerve deficits) อาการเจ็บที่ไขสันหลัง (diffuse spinal pain) โดยแบคทีเรียที่มักพบในการติดเชื้อของระบบประสาท CNS ได้แก่ Staphylococcus spp. Streptococcus spp. Pasteurella spp. และ Escherichia coli

แหล่งที่มาของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่มักพบว่ามีการกระจายมาจากการติดเชื้อในหูชั้นนอกหรือชั้นใน (otitis media/interna) การติดเชื้อของโพรงจมูก (nasal sinus infection) ที่แพร่กระจายผ่านทาง cribriform plate การเกิดหมอนรองกระดูกหรือกระดูกสันหลังอักเสบติดเชื้อ (diskospondylitis /vertebral osteomyelitis) และการเคลื่อนย้ายของแบคทีเรียจากการติดเชื้อที่ตำแหน่งอื่น (bacterial translocation) แม้ว่าสาเหตุเหล่านี้จะไม่ได้มีความพิเศษ แต่ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมต่อการรักษาการติดเชื้อในส่วน CNS ของสุนัขนั้นมีข้อจำกัด โดยคำแนะนำในการรักษานั้นจะอ้างอิงจากงานวิจัยทางสัตวแพทย์ (ที่มีจำนวนไม่มาก) ร่วมกับการคาดการณ์จากงานวิจัยทางการแพทย์

การรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียทุกกรณีควรได้รับการตรวจเพาะเชื้อและทดสอบความไวต่อยาปฏิชีวนะ (bacterial culture and susceptibility test) ก่อนที่จะเริ่มการรักษา แต่เนื่องจากการเก็บตัวอย่างจากตำแหน่ง CNS เพื่อให้ได้ตัวอย่างเพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสมนั้นทำได้ยาก ถึงแม้ว่าจะได้รับตัวอย่างที่เหมาะสมแต่อาการทางคลินิกอาจพัฒนาไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะได้ผลการตรวจ ดังนั้นจึงควรให้การรักษาโดยใช้หลัก การให้ยาปฏิชีวนะในการรักษาสัตว์ป่วยตั้งแต่แรกเริ่ม (empirical therapy) โดยไม่ต้องรอผลจากการเพาะเชื้ออย่างเร็วที่สุด หลักการของการรักษาเริ่มต้นนี้ประกอบด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์แคบที่สุด ที่ได้ผลต่อเชื้อแบคทีเรียที่สงสัย และสามารถผ่านตัวกรองกั้นระหว่างเลือดและสมอง (blood–brain barrier; BBB)

ลักษณะเฉพาะของ BBB คือมีโครงสร้างที่จำกัดการผ่านของยาปฏิชีวนะเข้าสู่ระบบ CNS ทางน้ำในไขสันหลัง (cerebrospinal fluid; CSF) สิ่งนี้ทำให้การเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมนั้นเป็นไปได้ยาก ปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกผ่านของ BBB ได้แก่ ความสามารถในการละลายในไขมัน ขนาดของโมเลกุล และความสามารถในการจับกับโปรตีน ยาที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในไขมัน (lipophilic drugs) จะมีความเข้มข้นของยาสูงเมื่อเข้าสู่สมอง เนื่องจากมีความสามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ ส่วนบทบาทของขนาดโมเลกุลและความสามารถในการจับโปรตีนนั้นมีความสำคัญเนื่องจากยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่จะจับกับโปรตีนอัลบูมินทำให้ขนาดของโมเลกุลมีขนาดใหญ่มากขึ้นและจำกัดความสามารถในการแพร่ผ่าน BBB นอกจากปัจจัยเหล่านี้ยังมี choroid plexus ที่ทำหน้าที่เสมือนระบบการขับออก (efflux system) ของยาออกจาก CSF ดังนั้นจึงควรพิจารณาลักษณะทั้งหมดนี้เพื่อเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม

เป้าหมายของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ คือ การเลือกชนิดยาที่สามารถผ่าน BBB ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (active form) และมีความเข้มข้นของระดับยาเพียงพอถึงระดับที่มีประสิทธิภาพในการรักษา การใช้ยาปฏิชีวนะที่ฤทธิ์ในการทำลายแบคทีเรียขึ้นกับระยะเวลาที่ระดับยาในเลือดสูงกว่าระดับความเข้มข้นของยาในระดับต่ำสุดในหลอดทดลองที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (minimal inhibitory concentration; MIC) มีระยะนานเพียงพอ (time dependent) มีเป้าหมายเพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของยาใน CSF ให้อยู่สูงกว่าความเข้มข้นต่ำสุดของการออกฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย (bactericide) ให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

การให้ยาทางหลอดเลือดดำ (IV therapy) ควรได้รับติดต่อกัน 3-5 วันแรก เนื่องจากความเข้มข้นของยาใน CSF สะท้อนถึงความเข้มข้นของยาในซีรั่ม เมื่อเปรียบเทียบกับรายงานทางการแพทย์ พบว่าการให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะในระยะต้นสัมพันธ์กับอัตราการตายที่น้อยลง นอกจากนี้พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการทางระบบประสาทในหลายตำแหน่ง (multifocal CNS signs) ไม่สามารถกินหรือมีปฏิกิริยาต่อการกลืนลดลง การให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด โดยภายหลังจากการให้ยา 3-5 วัน ผู้ป่วยจึงสามารถรับยาในรูปแบบการกินได้

จากความเห็นของผู้เขียน ยาปฎิชีวนะต่อไปนี้สามารถนำไปใช้เพื่อการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบประสาทได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุพื้นฐานของการติดเชื้อนั้นๆ

  1. Cephalosporins

ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม cephalosporins เกือบทั้งหมดมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกลุ่ม second และ third generation ส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมลบได้ดี โดยทั่วไปยากลุ่ม cephalosporins มักจะมีคุณสมบัติในการละลายในไขมันและความสามารถในการแพร่ผ่าน BBB ต่ำ อย่างไรก็ตามกลุ่ม third generation มีคุณสมบัติละลายในไขมันได้มากกว่า จึงสามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มสมองที่มีการอักเสบได้ กลไกการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้เป็นแบบ time dependent คือต้องการให้มีระดับยาสูงกว่าค่า MIC ตลอดระยะเวลาในการรักษา และเนื่องจากยาในกลุ่มนี้มีความเป็นพิษต่ำ จึงเป็นประโยชน์ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาปริมาณสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน ทั้งนี้ยังไม่มีงานวิจัยทางสัตวแพทย์ที่รายงานว่าระดับความเข้มข้นของยา cephalosporins สูงในระบบ CNS

Cefotaxime (20-50 มก./กก. IV ทุก 8 ชั่วโมง) เป็นยาในกลุ่ม third generation สามารถผ่าน CSF และมีระดับยาที่ใช้ในการรักษาในสัตว์ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ แต่เป็นการใช้ยานอกเหนือจากที่ระบุในฉลาก (extra-label use) ส่วนยาในกลุ่ม third generation ตัวอื่นที่ใช้กันทั่วไป เช่น cefovecin และ cefpodoxime นั้นยังไม่มีข้อมูลที่ได้รับการตีพิมพ์เกี่ยวกับการความสามารถในการเข้าสู่ระบบ CNS

  1. Fluoroquinolones

ยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้มีความสามารถในการละลายในไขมันได้ปานกลาง มีความสามารถในการจับโปรตีนต่ำ-ปานกลาง และมีขนาดของโมเลกุลต่ำ จากคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ fluoroquinolones สามารถผ่านเข้าสู่ CNS ได้ดี โดยปกติแล้วมักจะใช้สำหรับการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ต้องใช้ออกซิเจน (gram-negative aerobic infection) โดยออกฤทธิ์เป็น bactericidal activity

โดยทั่วไปมักจะใช้ enrofloxacin (5-20 มก./กก. กินทุก 24 ชม.) หรือ marbofloxacin (2.75-5.5 มก./กก. กินทุก 24 ชม.) ก็สามารถใช้ทดแทนได้

  1. Metronidazole

Metronidazole นั้นใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic infection) ออกฤทธิ์เป็น bactericide สามารถเข้าสู่ CNS ได้อย่างรวดเร็วและมีระดับความเข้มข้นของยาใน CNS สูง (ประมาณ 90% ของระดับยาในซีรั่ม) มีทั้งในรูปแบบการฉีดและรูปแบบการกิน จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเลือกใช้ในการรักษาแบบ empirical therapy การให้ยา metronidazole จำเป็นต้องมีการติดตามอาการหรือผลข้างเคียง เนื่องจากการให้ยาขนาดที่สูงอาจเกิดความเป็นพิษ ทำให้เกิดกลุ่มอาการ vestibular sign ส่วนอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในสุนัข เช่น ซึม รูม่านตาขยาย สั่น ชัก และประสาทความรับรู้บกพร่อง (proprioceptive deficits) มักพบความเป็นพิษในกรณีที่มีการใช้ยาขนาดสูง (60 มก./กก./วัน) หรือมีการให้ยาปริมาณต่ำ (30 มก./กก./วัน) ต่อเนื่องเป็นเวลานาน สัตว์ป่วยที่แสดงอาการความเป็นพิษของ metronidazole สามารถลดระยะเวลาการแสดงอาการได้โดยการให้ยา diazepam 0.4 มก./กก. IV 1 ครั้ง แล้วจึงให้ยากิน 0.4 มก./กก. ทุก 8 ชม. ติดต่อกัน 3 วัน

  1. Trimethoprim-Sulfonamide

ยา trimethoprim-sulfonamide เป็นยาที่ประกอบรวมกันแล้วมีระดับของยาที่ใช้ในการรักษาในระบบ CNS ได้ไม่ว่าจะมีการอักเสบของ BBB หรือไม่ก็ตาม มีฤทธิ์เป็น bactericide โดยยาจะออกฤทธิ์แบบกว้าง (broad-spectrum) สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ หากสัตว์มีประวัติการป่วยโรคตับหรือโรคไตมาก่อนควรได้รับการดูแลใกล้ชิดและพิจารณาปรับขนาดยาลง เนื่องจากยาชนิดนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของยาที่ตับ และมีการขับตัวยาออกทางไต นอกจากนี้ควรได้รับการติดตามอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการตาแห้ง (keratoconjunctivitis sicca; KCS) และภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (hypersensitivity) ในกรณีที่สัตว์ป่วยได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลานานควรให้มีการตรวจวัดปริมาณน้ำตา (Schirmer tear test) เป็นประจำ

  1. Ampicillin

ยาในกลุ่ม penicillin เป็นยาปฏิชีวนะที่มีความสามารถในการผ่านเข้าสู่ CNS ต่ำ และถึงแม้ว่าความเข้มข้นของยาจะเพิ่มขึ้นเมื่อเยื่อหุ้มสมองหรือไขสันหลังมีการอักเสบ แต่การทำงานของระบบ efflux pump ก็จะทำหน้าที่ขับยาออกเป็นผลให้ความเข้มข้นของยาใน CNS ลดต่ำลง

Ampicillin เป็นเพียงยาตัวเดียวในกลุ่มนี้ที่เป็นข้อยกเว้น เนื่องจากมีความสามารถในการผ่านเข้า CNS สูง ไม่ว่า BBB จะอยู่ในสภาวะใด การให้ ampicillin ในรูปแบบการกินพบว่ามีการดูดซึมยาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการให้ยาทาง IV ดังนั้นจึงมักแนะนำให้ให้ยาทาง IV ในช่วง 3-5 วันแรกของการรักษา แล้วจึงเปลี่ยนเป็นยากลุ่มอื่นในรูปแบบยากิน อย่างไรก็ตามความชุกของการสร้างเอนไซม์ β-lactamase ของแบคทีเรีย Streptococcus spp. และ Enterobacteriaceae ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อของ CNS นั้นมีระดับสูง ampicillin จึงไม่ใช่ยาปฏิชีวนะที่ดีในการเลือกใช้ใน empirical therapy ควรพิจารณาให้เมื่อมีการตรวจเพาะเชื้อและทดสอบความไวต่อยาปฏิชีวนะที่ให้ผลว่าเป็นแบคทีเรียชนิด non β-lactamase producing

 

สรุป

เมื่อมีการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบ CNS ควรเริ่มต้นการรักษาด้วยยาที่ออกฤทธิ์ในวงแคบที่สุดที่ได้ผลต่อแบคทีเรียที่สงสัย เพื่อเป็น empirical therapy และหากมีผลตรวจเพาะเชื้อก็สามารถปรับเปลี่ยนยาปฏิชีวนะได้ตามความเหมาะสม ในกรณีที่ไม่ได้มีการตรวจเพาะเชื้อ แต่สัตว์ป่วยมีอาการดีขึ้นภายหลังการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ก็ควรให้ยาชนิดเดิมต่อเนื่องเพื่อการรักษาต่อไป ส่วนระยะเวลาในการให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะนั้นไม่แน่นอน โดยอาการทางคลินิกมักหายไปภายหลังใช้ยาปฏิชีวนะยาวนาน 6-8 สัปดาห์ติดต่อกัน

อ้างอิงข้อมูล:

Joseph M. Mankin.  Top 5 Antibiotics for Neurologic Infections in Dogs. NAVC Clinician’s brief. March 2017. P.83-86.

Lauren A. Trepanier. Empirical Antibiotic Therapy. World Small Animal Veterinary Association World Congress Proceedings. 2013